วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551

ค่ายอาสาในรอบ 5 ปี

ผู้เีขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มอาสามหาวิทยาลัยมหิดลเป็นครั้งแรก
เมื่อปีพ.ศ. 2545 โดยเริ่มจากการร่วมกิจกรรมทำธงวันมหิดลทุกเย็นวันศุกร์ ตามคำชักชวนของรุ่นพีที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ต่อมาได้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาครั้งที่ 36 ในเดือนมีนาคม 2547
ในฐานะ"น้องค่ายใหม่"่ การทำค่ายเป็นไปด้วยความสนุกสนาน แต่ในขณะเดียวกัน
ผู้เขียนได้สังเกตเห็นการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย และความทรุดโทรมของร่างกาย
มากกว่าชาวค่ายทั่วไปของกรรมการค่าย อีกทั้งกรรมการค่ายก็ยังได้รับคำตำหนิ
จากบรรดาพี่ค่ายในเรื่องความบกพร่องของการทำงาน ผู้เขียนรู้สึกว่าการเป็นกรรมการ
เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ขณะเดียวกันก็เป็นที่น่านับถือในความพยายามที่จะ
ทำให้ค่ายอาสาสามารถดำเนินต่อไปได้

บรรยากาศค่าย 36 สำหรับผู้เขียนคือ เฉยๆ ในขณะที่ค่ายใหม่คนอื่นๆ
รู้สึกประทับใจกับบรรยากาศค่ายมาก อาจจะเนื่องจากผู้เขียนได้รู้จักกับพี่ค่ายมาก
จึงได้รับคำบอกกล่าวถึงสิ่งที่เคยเป็นมาก่อนในค่ายอาสาฯ เมื่อเปรียบเทียบ
กับสิ่งที่เิกิดขึ้นจริงๆ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกเฉยๆกับบรรยากาศค่าย 36
แต่สิ่งที่ทำให้ี่รู้สึกประทับใจน่าจะเป็นการทำงานของกรรมการมากกว่า

ช่วงระหว่างที่เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 3 ผู้เขียนได้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มมากขึ้นทั้งการทำธงวันมหิดล
ค่ายกลางปี (ในปีนี้เป็นค่ายอนุรักษ์ข้าว) สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้เขียนเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น
เพราะผู้เขียนเกิดความรู้สึกที่ดีจากค่ายอาสาฯ ที่ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสทำอะไร
ที่เรียกได้ว่า "สุดๆ" ของชีวิตบ้าง ผู้เขียนจึงอยากให้กลุ่มอาสาฯดำเนินต่อไป ต่อต่อไป

เมื่อถึงเวลาเลือกกรรมการค่ายอาสา เกิดปัญหาไม่สามารถหากรรมการฝ่ายโครงงานได้
ต้องเลื่อนการประชุมออกไป จนในที่สุดผู้เขียนถูกรบเร้าให้มาเป็นกรรมการโครงงาน
เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตครั้งหนึ่ง....

ค่าย 37 ที่ผู้เขียนได้เป็นกรรมการโครงงาน ผู้เขียนรู้สึกภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้มาก
ถึงแม้ท้ายที่สุด ตัวโรงเรียนที่เสร็จจะไม่ได้สวยงามอย่างที่ผู้เขียนวาดฝัน
ค่าย 37 เป็นค่ายที่พี่ค่ายต่างบอกกันว่ารู้สึกเฉยๆ
กรรมการไม่ได้ทะเลาะกัน แต่กรรมการฝ่ายโครงงานเองก็ไม่ได้เกิดความผูกพัน
ขึ้นอย่างวิเศษ แต่ความรูสึกโดยรวมสำหรับค่าย 37 ก็คือ Happy ending

ด้วยความประทับใจในการทำงานของหมู่คณะ ผู้เขียนจึงอยากทำให้
กลุ่มอาสาฯพัฒนายิ่งๆขึ้น จึงได้สมัครตำแหน่งประธานกลุ่มอาสาฯในปีต่อมา
ซึ่งผลก็คือได้เป็นรองประธานกลุ่มอาสาฯ แต่ผู้เขียนก็ดีใจ........

ค่าย 38 ที่ผู้เขียนได้เป็นรองผู้อำนวยการค่าย เป็นค่ายที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
ถึงแม้ตอนจบค่ายจะดีใจเช่นเดียวกับทุกปี แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้เขียนรู้สึก
ว่าผู้เขียนทำงานไม่เต็มที่ กินแรง นอนมากเกิน ฯลฯ อยากไปให้ห่างๆกลุ่มอาสาฯ
ตอนนั้นรูสึกว่าค่าย 38 จบไม่สวยเลย....

เมื่อได้มาทำงานสำรวจโรงเรียนเก่าเพื่อเตรียมข้อมูลงาน 40 ปีกลุ่มอาสาฯ
ความรู้สึกดีๆก็เกิดมาอีกครั้งจากการได้ไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าๆทำให้ผู้เขียนเกิด
แรงบันดาลใจในการทำให้กลุ่มอาสาดำเนินกิจกรรมต่อไปได้หลัง 40 ปี

เมื่อรุ่นน้องมาชวนให้ผู้เขียนเป็นผู้รักษาเวลาค่าย 39 ผู้เขียนก็เต็มใจ
ไปร่วมค่า่ย และอยากทำให้อะไรๆดีขึ้นในฐานะพี่ค่าย ซึ่งผลการดำเนินค่าย 39
ทำให้ผู้เขียนรู้สึกกระชุ่มกระชวย มีความยินดีกับค่ายอาสาฯมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว

แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของ
องค์ประกอบสามชิกของกลุ่มอาสา คือ จำนวนพี่ค่ายที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่มีจำนวนน้อยลง
คือ จะมีพี่ค่ยที่เป็นกรรมการเป็นส่วนใหญ่ที่จะไปเต็มๆค่ายได้ ในขณะที่พี่ค่าย"รุ่นเด็ก"
จะไปค่ายได้น้อยวันลง.....

ค่าย 39 ผู้เขียนต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯก่อนค่ายจบ แต่อย่างไรก็ดีความรู้สึกสนุกนะมี
แต่ความรู้สึกประทับใจแบบวันเก่าๆมันน้อยลง..... อย่างไม่ทราบเหตุผล

ช่วงปี 6 ผู้เขียนได้ห่างเหินกลุ่มอาสาฯไประดับหนึ่ง แต่ก็มีเวลาเข้าร่วมค่าย 40
ได้มากอย่างไม่คาดฝัน ค่าย 40 ที่เพิ่งผ่านไปทำให้ผู้เขียนรู้สึกสนุกสนานดี
แต่ในความสนุกนั้น ก็มีความกังวลเกิดขึ้นในจิตใจ รู้สึกถึงมรสุมลูกใหญ่
ที่กำลังคอยอยู่ที่ค่าย 41.......

เช่นกันกับค่าย 39 จำนวนพี่ค่ายรุ่นเด็กที่อยู่คู่กรรมการค่ายจนจบนั้นดูน้อยจริงๆ
ไม่ใช่ผู้เขียนคิดไปเอง แต่ทะเบียนค่ายสามารถยืนยันได้แน่ ว่าจำนวนพี่ค่ายรุ่นเด็ก
นั้นมาค่ายน้อยลงจริง.....

เมื่อผู้เขียนลองมานึกดู ว่าความประทับใจในค่ายอาสาฯมันน้อยลงอย่างไรก็ได้ดังนี้
1. จำนวนเพื่อนๆมาค่ายน้อยลง
2. การใช้ชีวิตในค่ายไม่แตกต่างจากการใช้ชีวิตปกติ
3. ทำงานกันเหนื่อยมาก....

น่าคิดว่ามันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าระหว่างความประทับใจที่น้อยลง
จนทำให้กลุ่มอาสาฯขาดผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่จะถูกผูกมัดไว้ด้วยความสัมพันธ์
ที่เรียกว่าลึกซึ่งกับกลุ่มอาสาฯ

อนาคตจะมีค่าย 41 หรือไม่ คงต้องได้แต่ใช้สำนวนที่ว่า
Time will tell, only time will tell

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เผอิญเข้ามาเจอบทความนี้เข้าโดยบังเิอิญครับ น่าจะใช่พี่ต้นหรือเปล่าครับ พอได้อ่านบทความแล้วผมเองก็มีความรู้สึกคล้ายๆกันกับที่พี่เขียนเลย แต่ก็ไม่รู้นะครับบางครั้งมันก็เหมือนกับที่เราไปทำงานอาสาเพราะว่ามันทำให้เราสบายใจได้บ้าง อย่างน้อยก็ได้เจอกับคนที่มาทำงานเหมือนกับเรา(ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่หรือความอยากมาเอง) ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างก็คงต้องขึ้นกับน้องๆรุ่นใหม่ที่เวียนเข้ามาทดแทนรุ่นพี่ต้องจบออกไป

EATEATSLEEPSLEEP กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ น้องค่าย48นะคะบังเอิญได้พบเจอบทความนี้ ตอนแรกที่ได้ไปค่ายก็แค่อยากได้ประสบการณ์การทำเพื่อสังคม การสร้างโรงเรียน อยากรู้ว่าตัวเราเองจะทำได้ไหม หน้าตาของโรงเรียนจะออกมายังไง แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากค่ายมันมากกว่าที่น้องคิดไว้เยอะเลย ได้มิตรภาพ ได้ความอดทน การผลัดกันนวด ผลัดกันShareประสบการณ์ในช่วงเย็นของแต่ละวัน การนั่งเม้ากัน หลังจบค่ายไป เราจะกินอะไรกันดีจะนัดเจอกันอีกไหม

ตอนนั้นความกังวลใจเดียว มีแค่ว่าจะมีค่าย49 ต่อไปไหม ข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับค่าย48 ว่า นี่อาจจะเป็นค่ายสุดท้าย ของกลุ่มอาสาฯ นี้ จนแล้วจนรอด ทุกคนก็ร่วมใจกันสานต่อค่าย 49 ขึ้นมา จนได้ ตอนนั้นที่เป็นน้องค่ายไม่รู้เลยว่ากรรมการ พี่ค่ายต้องมานั่งคิดงานดึกๆดื่นๆ ถกเถียงกันในเรื่องานของแต่ละวัน ตอนกลับไปในฐานะพี่ค่ายครั้งแรก สิ่งที่สังเกตุได้ชัดเจนเลยคือ คนหายไปเยอะมาก ด้วยเวลา หน้าที่การงาน ทำให้ไม่สามารถลางานไปได้อย่างตั้งใจ บางคนมา 2 วัน บางคน 1 อาทิตย์ บางท่าน 2 อาทิตย์ และบางท่านอยู่ยันจบค่าย

พอได้กลับไปก็ทำให้ได้ถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยทำค่ายร่วมกัน ส่วนตัวรู้สึกว่าอบอุ่นมาก อยากให้มีต่อไปนานๆ
แต่พอกระแสโควิด-19 เข้ามานั้น 2563-2564นั้น ทางกล่มอาสาฯ ดูเงียบมาก คาดว่าคงไม่ได้จัดเป็นแน่ๆแอบเสียดายเหมือนกัน

หวังว่าถ้าวันนึงโควิดหมดไป ค่ายเราจะกลับมาจัดแบบเดิมนะ
คิดถึงทุกคน เหมือนเดิม
ปล. มิลเลอร์ที่ได้มายังเก็บไว้อย่างดีทุกแผ่น :)