เมื่อตอนที่ไปค่ายอาสาฯขณะเป็นนักเรียนแพทย์ เรื่องหนึ่งที่จำได้จนติดใจถึงทุกวันนี้ คือเรื่องคนดีทีก้าวร้าว
พี่ค่ายคนหนึ่งได้พูดเรื่องนี้ในวงประชุมเช้า
ประเด็นคือ ในสังคมปัจจุบันที่มีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คนในสังคมมักไม่กล้าทำความดี และปล่อยให้เรื่องราวต่างๆในสังคมเป็นไปตามทางของมัน พี่ค่ายท่านนั้นจึงอยากเสนอให้พวกเราลองเป็นคนดีที่ก้าวร้าว ในความหมายของพี่คนนั้น คนดีที่ก้าวร้าว คือ คนที่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง และมั่นใจในความดีที่ได้กระทำ เพื่อให้สังคมนี้น่าอยู่ และมีสภาพที่ดีขึ้นกว่านี้...
ช่วง 2-3 สัปดาห์ ผู้เขียนย้อนระลึกถึงคำพูดนี้อีกครั้ง เพราะคนดีมัวแต่ไม่กล้า สังคมจึงเป็นแบบนี้ ไม่กล้าที่จะบอกว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก จริงอยู่ที่ว่าสังคมปัจจุบันเป็นสังคมสมัยใหม่ มีความสลับซับซ้อน มีภาพรวมเป็นสีเทา ไม่มีขาว-ดำ แบบสังคมในอดีต ความดี-ชั่วขึ้นกับมุมมอง หรือทัศนคติของคนในสังคม บางคนก็เรียกสังคมยุคปัจจุบันว่า ยุคแห่งความไม่แน่นอน (age of uncertainty)
แต่กับบางเรื่อง ทั้งๆที่คนธรรมดา ไม่จำเป็นต้องเป็นวิญญุชน(รากศัพท์จาก pater familias แปลว่าคนที่มีความดีขนาดเป็นหัวหน้าครอบครัวได้)ก็สามารถบอกได้ ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก เป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน คนในสังคมปัจจุบันกลับปล่อยปละละเลย ให้เกิดขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ ไม่มีใครพูดถึง หรือไม่มีใครลุกขึ้นมาประกาศว่าสิ่งนี้คือความชั่ว จงรังเกียจความชั่วนี้ และอย่าทำมันอีก...
สังคมวันนี้ต้องการคนดีที่ก้าวร้าวจริงๆ...
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551
วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551
การเรียนครึ่งวัน กับทัศนคติของนักปกครองไทย
ผู้เขียนพึ่งได้ทราบจากน้องชายว่าขณะนี้ นักศึกษาแพทย์ปี 3 มีการจัดตารางสอนแบบใหม่ คือเรียนครึ่งวันเช้า หลังจากนั้นจะหยุดเรียนในช่วงบ่าย เพื่อให้นักศึกษาไปอ่านหนังสือ หรือหาความรู้แบบอื่นๆ แล้ววันถัดไปก็ใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษาด้วยตนเองมาทำ KSA สรุปคือมีการบรรยายน้อยลง มีการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น
แนวความคิดนี้เป็นแนวความคิดที่น่าสนใจ ผู้เขียนรู้สึกเห็นด้วย น่าจะทำให้นักศึกษาแพทย์ผ่อนคลายมากขึ้น เพราะมีการบรรยายน้อยลง อ่านหนังสือมากขึ้น และมีเวลาว่างมากขึ้น
แต่ถ้าผู้เขียนมองในมุมมองแบบนักปกครองไทย ก็คงจะได้แนวความคิดเช่นนี้
"ปล่อยให้นักศึกษาไปอ่านหนังสือเอง! เดี๋ยวพวกเด็กๆก็คงจะเอาเวลาไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ไม่เป็นโล้เป็นพายหรอก พวกนี้ชอบอยู่แล้ว เรื่องไม่ต้องเข้าเรียนน่ะ คงไม่มีใครมานั่งบ้าอ่านหนังสือเองหรอก เพื่อนๆไปเที่ยวกันหมดแล้วนี่ โอ๊ยการศึกษาแพทยศาสตร์ ล่มจมกันแน่..."
เนื่องจากชนชั้นปกครองของไทยก็มักจะมองประชาชนในลักษณะที่ว่า คนเหล่านี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม รับเงินจากนักการเมือง คิดถึงแต่การเมืองท้องถิ่น ชอบนโยบายประชานิยม เลือกตั้งจนได้นายกรัฐมนตรีชื่อสมัคร สุนทรเวช ระบอบประชาธิปไตยไม่เหมาะกับคนไทย สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องของฝรั่ง การปกครองของคนไทยควรต้องมีผู้ชี้นำ การปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจเอง เท่ากับปล่อยประเทศให้ล่มสลาย เป็นภัยต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์...
และเชื่อได้เลย ว่านักศึกษาแพทย์ส่วนหนึ่งย่อมไม่ต้องการวิธีเรียนแบบนี้ เพราะต้องอ่านหนังสือเองเป็นหลัก การให้คนอื่นมาพูดให้ฟังย่อมสะดวกสบายกว่า เหมือนกับอย่างที่คนไทยส่วนหนึ่งต้องการคืนอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์ ยกเลิกการปกครองในระบอบประชาธิไตย...
อ้อๆ ลืมไปๆ พวกเราเป็นปัญญาชนนี่ การศึกษาแบบนี้แหละเหมาะสำหรับพวกเราแล้ว เพราะพวกเราไม่ใช่คนธรรมดา พวกเราเป็นผู้มีการศึกษา ย่อมมีความสามารถตัดสินใจ เลือกสิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว พวกเราจะต้องขยันเรียน มุ่งมั่นหาความรู้ เพื่อนำความรู้ที่ได้มาช่วยประชาชนต่อไป ต่อต่อไป...
แนวความคิดนี้เป็นแนวความคิดที่น่าสนใจ ผู้เขียนรู้สึกเห็นด้วย น่าจะทำให้นักศึกษาแพทย์ผ่อนคลายมากขึ้น เพราะมีการบรรยายน้อยลง อ่านหนังสือมากขึ้น และมีเวลาว่างมากขึ้น
แต่ถ้าผู้เขียนมองในมุมมองแบบนักปกครองไทย ก็คงจะได้แนวความคิดเช่นนี้
"ปล่อยให้นักศึกษาไปอ่านหนังสือเอง! เดี๋ยวพวกเด็กๆก็คงจะเอาเวลาไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ไม่เป็นโล้เป็นพายหรอก พวกนี้ชอบอยู่แล้ว เรื่องไม่ต้องเข้าเรียนน่ะ คงไม่มีใครมานั่งบ้าอ่านหนังสือเองหรอก เพื่อนๆไปเที่ยวกันหมดแล้วนี่ โอ๊ยการศึกษาแพทยศาสตร์ ล่มจมกันแน่..."
เนื่องจากชนชั้นปกครองของไทยก็มักจะมองประชาชนในลักษณะที่ว่า คนเหล่านี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม รับเงินจากนักการเมือง คิดถึงแต่การเมืองท้องถิ่น ชอบนโยบายประชานิยม เลือกตั้งจนได้นายกรัฐมนตรีชื่อสมัคร สุนทรเวช ระบอบประชาธิปไตยไม่เหมาะกับคนไทย สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องของฝรั่ง การปกครองของคนไทยควรต้องมีผู้ชี้นำ การปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจเอง เท่ากับปล่อยประเทศให้ล่มสลาย เป็นภัยต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์...
และเชื่อได้เลย ว่านักศึกษาแพทย์ส่วนหนึ่งย่อมไม่ต้องการวิธีเรียนแบบนี้ เพราะต้องอ่านหนังสือเองเป็นหลัก การให้คนอื่นมาพูดให้ฟังย่อมสะดวกสบายกว่า เหมือนกับอย่างที่คนไทยส่วนหนึ่งต้องการคืนอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์ ยกเลิกการปกครองในระบอบประชาธิไตย...
อ้อๆ ลืมไปๆ พวกเราเป็นปัญญาชนนี่ การศึกษาแบบนี้แหละเหมาะสำหรับพวกเราแล้ว เพราะพวกเราไม่ใช่คนธรรมดา พวกเราเป็นผู้มีการศึกษา ย่อมมีความสามารถตัดสินใจ เลือกสิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว พวกเราจะต้องขยันเรียน มุ่งมั่นหาความรู้ เพื่อนำความรู้ที่ได้มาช่วยประชาชนต่อไป ต่อต่อไป...
วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551
รับน้องอีกครั้ง
ตอนนี้ก็ผ่านมาถึงช่วงรับน้องอีกครั้ง
งานรับน้องปีนี้ก็ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หัวสีอีกตามเคย
ลักษณะเดิมๆ ซึ่งก็มักเป็นมหาวิทยาลัยในระดับภูมิภาค
หรือพวกนักเรียนสายอาชีพ
มหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯไม่มีปัญหารับน้องมาหลายปีแล้ว
ไม่ทราบว่าด้วยกลไกอะไร เข้าใจว่าเป็นเรื่องสถานะของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆด้วยหนึ่ง
และสภาพแวดล้อมของสังคมด้วยอีกหนึ่ง
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะมีคนรู้กี่คนว่าที่เขาพูดต่อๆกันมาว่าประเพณีรับน้องเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานนั้น จริงๆแล้วมีความจริงครึ่งเดียว
ระบบรับน้องมีมานานจริง แต่ไม่ได้อยู่คู่สังคมไทยโดยตลอด เมื่อช่วงปี 2516-2519 ช่วงที่เป็นยุครุ่งเรืองของเสรีภาพ นักศึกษารุ่นน้องหัวก้าวหน้าสามารถต่อสู้ทางอุดมการณ์กับรุ่นพี่ จนทำให้ไม่มีประเพณีรับน้องในหลายมหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาเชื่อว่าการรับน้องเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นศักดินาอย่างหนึ่งในสังคม
จนกระทั่งหมดยุคคนเดินตุลา เผด็จการเจริญงอกงามอีกครั้ง ระบบหรือประเพณีรับน้องก็กลับมาใหม่...
หลายครั้งผู้เขียนตั้งคำถามถึงระบบอุปถัมป์ในสังคมไทย (แต่เดิมผู้เขียนมักใช้คำว่าระบบเส้นสาย แต่เนื่องจากเพื่อความทันสมัย เลยใช้คำว่าระบบอุปถัมป์) ว่ามันสิ่งที่ชอบธรรมหรือไม่ สำหรับสังคมสมัยใหม่ที่วัดคุณค่าของคนจากผลงาน จากพฤติกรรมที่แสดงออกระหว่างการทำงาน ไม่ได้วีดจากสถานภาพทางสังคม (หรือชนชั้น)แบบสมัยก่อน....
มีบางคนบอกว่าระบบอุปถัมป์บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด ผู้เขียนไม่ชอบใจเอาเสียเลย.....
ตอนนี้คนในสังคมเอาคุณธรรม หลักธรรมต่างๆมาปนกันมั่วไปหมด ความกตัญญู การตอบแทนคุณ ความเอื้ออารีจากผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย ขยุ้มรวมกันจนได้ระบบอุปถัมป์ขึ้นมา......
วันนี้ง่วงนอนคิดไม่ออกแล้ว....
งานรับน้องปีนี้ก็ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หัวสีอีกตามเคย
ลักษณะเดิมๆ ซึ่งก็มักเป็นมหาวิทยาลัยในระดับภูมิภาค
หรือพวกนักเรียนสายอาชีพ
มหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯไม่มีปัญหารับน้องมาหลายปีแล้ว
ไม่ทราบว่าด้วยกลไกอะไร เข้าใจว่าเป็นเรื่องสถานะของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆด้วยหนึ่ง
และสภาพแวดล้อมของสังคมด้วยอีกหนึ่ง
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะมีคนรู้กี่คนว่าที่เขาพูดต่อๆกันมาว่าประเพณีรับน้องเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานนั้น จริงๆแล้วมีความจริงครึ่งเดียว
ระบบรับน้องมีมานานจริง แต่ไม่ได้อยู่คู่สังคมไทยโดยตลอด เมื่อช่วงปี 2516-2519 ช่วงที่เป็นยุครุ่งเรืองของเสรีภาพ นักศึกษารุ่นน้องหัวก้าวหน้าสามารถต่อสู้ทางอุดมการณ์กับรุ่นพี่ จนทำให้ไม่มีประเพณีรับน้องในหลายมหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาเชื่อว่าการรับน้องเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นศักดินาอย่างหนึ่งในสังคม
จนกระทั่งหมดยุคคนเดินตุลา เผด็จการเจริญงอกงามอีกครั้ง ระบบหรือประเพณีรับน้องก็กลับมาใหม่...
หลายครั้งผู้เขียนตั้งคำถามถึงระบบอุปถัมป์ในสังคมไทย (แต่เดิมผู้เขียนมักใช้คำว่าระบบเส้นสาย แต่เนื่องจากเพื่อความทันสมัย เลยใช้คำว่าระบบอุปถัมป์) ว่ามันสิ่งที่ชอบธรรมหรือไม่ สำหรับสังคมสมัยใหม่ที่วัดคุณค่าของคนจากผลงาน จากพฤติกรรมที่แสดงออกระหว่างการทำงาน ไม่ได้วีดจากสถานภาพทางสังคม (หรือชนชั้น)แบบสมัยก่อน....
มีบางคนบอกว่าระบบอุปถัมป์บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด ผู้เขียนไม่ชอบใจเอาเสียเลย.....
ตอนนี้คนในสังคมเอาคุณธรรม หลักธรรมต่างๆมาปนกันมั่วไปหมด ความกตัญญู การตอบแทนคุณ ความเอื้ออารีจากผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย ขยุ้มรวมกันจนได้ระบบอุปถัมป์ขึ้นมา......
วันนี้ง่วงนอนคิดไม่ออกแล้ว....
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551
เป็นผู้ใหญ่
เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก
ผู้เขียนรู้สึกรังเกียจความชั่วทั้งปวง
ทั้งสิ่งที่ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นความชั่วเอง
และสิ่งที่สังคมรอบข้างบอกผู้เขียนว่าสิ่งนั้นๆคือความชั่ว
ผู้เขียนรู้สึกเกลียดระบบเส้นสาย
ผู้เขียนรู้สึกเกลียดการพนัน
ผู้เขียนรู้สึกเกลียดการแบ่งแยกชนชั้น
ผู้เขียนรู้สึกว่าคนที่แกล้งผู้เขียนน่าจะไปตายให้หมด....เพราะมันเป็นคนชั่ว
เปรียบเทียบกับวันนี้
วันที่สังคมบอกว่าระบบเส้นสายบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ดี
วันที่หวยบนดินเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
วันที่ผู้เขียนรู้สึกดีที่ตัวเองมีอภิสิทธิ์
วันนี้ผู้เขียนรู้สึกเฉยๆกับเรื่องเหล่านี้
เพราะว่ามันคือความจริง
ความจริงของสังคม
สังคมที่ต้องมีทั้ง Hero และ Creep
วันนี้ผู้เขียนเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่เอง....
ผู้เขียนรู้สึกรังเกียจความชั่วทั้งปวง
ทั้งสิ่งที่ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นความชั่วเอง
และสิ่งที่สังคมรอบข้างบอกผู้เขียนว่าสิ่งนั้นๆคือความชั่ว
ผู้เขียนรู้สึกเกลียดระบบเส้นสาย
ผู้เขียนรู้สึกเกลียดการพนัน
ผู้เขียนรู้สึกเกลียดการแบ่งแยกชนชั้น
ผู้เขียนรู้สึกว่าคนที่แกล้งผู้เขียนน่าจะไปตายให้หมด....เพราะมันเป็นคนชั่ว
เปรียบเทียบกับวันนี้
วันที่สังคมบอกว่าระบบเส้นสายบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ดี
วันที่หวยบนดินเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
วันที่ผู้เขียนรู้สึกดีที่ตัวเองมีอภิสิทธิ์
วันนี้ผู้เขียนรู้สึกเฉยๆกับเรื่องเหล่านี้
เพราะว่ามันคือความจริง
ความจริงของสังคม
สังคมที่ต้องมีทั้ง Hero และ Creep
วันนี้ผู้เขียนเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่เอง....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)