นั่งอยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า....
ตอนนี้เป็นหมออยู่........
ตั้งแต่อนุบาล ประถมจนถึงมัธยม....
นึกไม่ออกว่าช่วงชีวิตที่ไม่ได้เรียนหนังสือจะเป็นอย่างไร
ยิ่งมาเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์
เรียนยาวอีก ๖ ปี
จนตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่
เรียนทั้งนิติเวชศาสตร์และนิติศาสตร์
และมีแนวโน้มว่าต้องเรียนต่อ......
พอนึกขึ้นมาได้
ว่าตอนนี้ทำงานและมีเงินเดือน
ก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที.....
แต่อย่างไรก็ดี
ก็ยังคิดว่าตัวเองโชคดี
ที่ได้ทำตามฝันของตัวเอง
เพราะมีอีกหลายคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะฝัน......
งานหนักแค่ไหน ก็ท่องไว้ในใจ
Autopsy สนุกที่สุด......
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ศัตรูร่วม
เมื่อได้ติดตามข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เขียนก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง
เมื่อใดที่ต้องการความสามัคคีจากคนกลุ่มหนึ่ง
ให้หาศัตรูมาให้พวกเขามีร่วมกันหนึ่งคน
พวกคนเหล่านี้จะมีความสามัคคีขึ้นมาอย่างแน่นแฟ้น
คนที่เคยเกลียดกันก็ยอมมาร่วมมือกัน
เพื่อกำจัดศัตรูร่วมคนนี้
ประเด็นที่ได้ผลอยู่เสมอๆก็คือศัตรูของชาติ
อย่างเช่นในขณะนี้ ทักษิณก็เป็นศัตรูร่วมของคนในชาติจำนวนหนึ่ง
เป็นผู้ทรยศต่อชาติ ไม่รักชาติ
เหมือนอย่างเช่นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือพม่าในอดืต
เนื่องจากในประเทศไทยยังมีคนเป็นกลางอีกจำนวนหนึ่ง
การเอาบุคคลคนเดียวมาเป็นศัตรู ดูไม่สมเหตุสมผลในสายตาคนเป็นกลางเหล่านี้
รัฐบาลก็ต้องขยายผล
ให้ประเทศกัมพูชามาเป็นศัตรูร่วมของคนไทยทั้งหลายอีก
อาศัยความรู้สึกที่"เหนือกว่า"ของประเทศไทย
เป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลได้เสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น
ถ้าผลเอแบคโพลสามารถเชื่อได้ ก็แสดงว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการสร้างศัตรูร่วม
เปรียบเทียบกับวงการอื่น
การแข่งกีฬา ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามัคคี
แต่มองในอีกมุมหนึ่ง
ลักษณะก็คล้ายกัน คือหาศัตรูร่วมมาให้
สมาชิกภายในสังกัดนั้นๆ ก็เกิดความสามัคคีกันขึ้นมา
เพื่อหาทางเอาชนะศัตรูให้ได้
ในวงการแพทย์ ศัตรูร่วมของแพทย์ ก็คือ
บรรดาคนไข้ขี้ฟ้องทั้งหลาย
ที่บังอาจมาคุกคามเสถียรภาพของวิชาชีพ
กลุ่มแพทย์ที่อยากหาเสียงในวงการแพทย์
ก็ต้องสร้างศัตรูร่วมให้เป็นรูปเป็นร่าง
เกิดความรู้สึกว่า"มีอยู่จริง"
บรรดาแพทย์ทั้งหลายที่มีอีโก้ในตัวเองสูงส่ง
ก็จะรวมตัวเข้ากัน สร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กร
ต่อกรกับศัตรูร่วม (ที่ถูกสร้างขึ้นโดย....?)
ความสามัคคีที่เกิดจากศัตรูร่วม จะหายไปเมื่อศัตรูร่วมหายไป
ดังนั้นเพื่อให้คึวามสามัคคีนี้คงอยู่
ก็ต้องหาศัตรูร่วมมาใหม่เรื่อยๆ
ระวังอย่าไปเป็นศัตรูร่วมของใครก็แล้วกัน
เมื่อใดที่ต้องการความสามัคคีจากคนกลุ่มหนึ่ง
ให้หาศัตรูมาให้พวกเขามีร่วมกันหนึ่งคน
พวกคนเหล่านี้จะมีความสามัคคีขึ้นมาอย่างแน่นแฟ้น
คนที่เคยเกลียดกันก็ยอมมาร่วมมือกัน
เพื่อกำจัดศัตรูร่วมคนนี้
ประเด็นที่ได้ผลอยู่เสมอๆก็คือศัตรูของชาติ
อย่างเช่นในขณะนี้ ทักษิณก็เป็นศัตรูร่วมของคนในชาติจำนวนหนึ่ง
เป็นผู้ทรยศต่อชาติ ไม่รักชาติ
เหมือนอย่างเช่นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือพม่าในอดืต
เนื่องจากในประเทศไทยยังมีคนเป็นกลางอีกจำนวนหนึ่ง
การเอาบุคคลคนเดียวมาเป็นศัตรู ดูไม่สมเหตุสมผลในสายตาคนเป็นกลางเหล่านี้
รัฐบาลก็ต้องขยายผล
ให้ประเทศกัมพูชามาเป็นศัตรูร่วมของคนไทยทั้งหลายอีก
อาศัยความรู้สึกที่"เหนือกว่า"ของประเทศไทย
เป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลได้เสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น
ถ้าผลเอแบคโพลสามารถเชื่อได้ ก็แสดงว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการสร้างศัตรูร่วม
เปรียบเทียบกับวงการอื่น
การแข่งกีฬา ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามัคคี
แต่มองในอีกมุมหนึ่ง
ลักษณะก็คล้ายกัน คือหาศัตรูร่วมมาให้
สมาชิกภายในสังกัดนั้นๆ ก็เกิดความสามัคคีกันขึ้นมา
เพื่อหาทางเอาชนะศัตรูให้ได้
ในวงการแพทย์ ศัตรูร่วมของแพทย์ ก็คือ
บรรดาคนไข้ขี้ฟ้องทั้งหลาย
ที่บังอาจมาคุกคามเสถียรภาพของวิชาชีพ
กลุ่มแพทย์ที่อยากหาเสียงในวงการแพทย์
ก็ต้องสร้างศัตรูร่วมให้เป็นรูปเป็นร่าง
เกิดความรู้สึกว่า"มีอยู่จริง"
บรรดาแพทย์ทั้งหลายที่มีอีโก้ในตัวเองสูงส่ง
ก็จะรวมตัวเข้ากัน สร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กร
ต่อกรกับศัตรูร่วม (ที่ถูกสร้างขึ้นโดย....?)
ความสามัคคีที่เกิดจากศัตรูร่วม จะหายไปเมื่อศัตรูร่วมหายไป
ดังนั้นเพื่อให้คึวามสามัคคีนี้คงอยู่
ก็ต้องหาศัตรูร่วมมาใหม่เรื่อยๆ
ระวังอย่าไปเป็นศัตรูร่วมของใครก็แล้วกัน
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552
บริบทของสังคมไทย?
ถ้าหากว่าคุณเถียงใครไม่ได้ทุกวันนี้
คำตอบไม้ตายอย่างหนึ่งคือ
"ที่คุณพูดมันก็ถูก
แต่....มันก็ต้องดูบริบทของสังคมไทยด้วย
เอาแนวคิดฝรั่ง (หรือตะวันตก หรือคนอื่น) มาใช้
มันไม่ได้ผลหรอก...."
อาจให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าที่มันไม่ได้ผล
เพราะคนไทยมัน"ห่วย"
ผู้เขียนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
ว่าบริบทของสังคมไทยมันคืออะไรกันแน่ ?
บางคนอาจใช้คำง่ายๆว่า "ไทยๆ"
บางคนใช้คำว่า "วัฒนธรรมไทย"
บางคนที่อยากให้ดูดีก็ใช้คำว่า "วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม"
เป็นกับทุกวงการ
ที่ผู้เขียนเจอกับตัวก็คือ
เรื่องการแพทย์และกฎหมาย
เรื่องกฎหมายก็พบเห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว ตามสื่อต่างๆ
และในห้องเรียน.....
ในวงการแพทย์
ผู้เขียนได้ยินมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา
แนวความคิดที่ว่า
บางทีการแพทย์แผนตะวันตกอาจไม่เหมาะกับคนไทย
เพราะมันไม่อบอุ่น...
หรือ
ผู้ป่วยชาวไทยไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจได้เอง
(ไม่ค่อยเชื่อในหลัก autonomy หรือ self-determination)
ประมาณ พอๆกับเชื่อเรื่องชาวบ้านซื้อได้ด้วยการซื้อเสียง
บริบทของสังคมไทยเท่าที่ผู้เขียนสังเกตได้
คือการแสดงออกในลักษณะแนวความคิดอำนาจนิยม
เอาอำนาจเป็นใหญ่
แลความไม่เชื่อในสามัญชน ประเทศชาติจะเจริญได้
ก็ด้วยแต่ชนชั้นนำที่มีคุณภาพจึงจะนำพาชาติไปได้
เข้าใจว่านี่แหละคือบริบทสังคมไทยที่แท้จริง...
คำตอบไม้ตายอย่างหนึ่งคือ
"ที่คุณพูดมันก็ถูก
แต่....มันก็ต้องดูบริบทของสังคมไทยด้วย
เอาแนวคิดฝรั่ง (หรือตะวันตก หรือคนอื่น) มาใช้
มันไม่ได้ผลหรอก...."
อาจให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าที่มันไม่ได้ผล
เพราะคนไทยมัน"ห่วย"
ผู้เขียนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
ว่าบริบทของสังคมไทยมันคืออะไรกันแน่ ?
บางคนอาจใช้คำง่ายๆว่า "ไทยๆ"
บางคนใช้คำว่า "วัฒนธรรมไทย"
บางคนที่อยากให้ดูดีก็ใช้คำว่า "วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม"
เป็นกับทุกวงการ
ที่ผู้เขียนเจอกับตัวก็คือ
เรื่องการแพทย์และกฎหมาย
เรื่องกฎหมายก็พบเห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว ตามสื่อต่างๆ
และในห้องเรียน.....
ในวงการแพทย์
ผู้เขียนได้ยินมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา
แนวความคิดที่ว่า
บางทีการแพทย์แผนตะวันตกอาจไม่เหมาะกับคนไทย
เพราะมันไม่อบอุ่น...
หรือ
ผู้ป่วยชาวไทยไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจได้เอง
(ไม่ค่อยเชื่อในหลัก autonomy หรือ self-determination)
ประมาณ พอๆกับเชื่อเรื่องชาวบ้านซื้อได้ด้วยการซื้อเสียง
บริบทของสังคมไทยเท่าที่ผู้เขียนสังเกตได้
คือการแสดงออกในลักษณะแนวความคิดอำนาจนิยม
เอาอำนาจเป็นใหญ่
แลความไม่เชื่อในสามัญชน ประเทศชาติจะเจริญได้
ก็ด้วยแต่ชนชั้นนำที่มีคุณภาพจึงจะนำพาชาติไปได้
เข้าใจว่านี่แหละคือบริบทสังคมไทยที่แท้จริง...
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
หากินกับความขี้เกียจ
ความขี้เกียจสามารถเป็นช่องทางทำมาหากินให้กับใครก็ได้
เพราะความขี้เกียจเป็นสิ่งที่มีติดตัวมนุษย์ทุกคน
มากบ้างน้อยบ้าง
เป็นพิษบ้าง ช่วยให้สบายบ้าง
ตัวอย่างสิ่งที่หากินกับความขี้เกียจอย่างแรกคือ
ศูนย์สุขภาพที่โฆษณาว่า
สามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย
จะเห็นว่า คำโฆษณาดังกล่าวฝืนความรู้สึกอยู่ในที่
ถ้าได้เรียนสปช. นักเรียนก็ย่อมต้องรู้ว่า
การจะมีสุขภาพดีได้ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
แต่คนในสังคมปัจจุบัน
ขี้เกียจออกกำลังกาย
แต่ก็ยังอยากรักษาสุขภาพ
การลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนโดยไม่ต้องออกกำลังกาย
ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง
ไม่ต้องเสียเวลาออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 วัน วันละครึ่งชั่วโมง
ก็สามารถผอม หุ่นดีได้ !
ฝันที่เป็นจริงของคนขี้เกียจ (ที่มีเงิน)
ต่อมาคือ การกินนมหรืออาหารเสริมทำให้เด็กฉลาด
โดยไม่ต้องกินข้าวหรืออ่านหนังสือ
สุดยอด ! นั่งกินนอนกินนมอัจฉริยะไปวันๆ
ก็ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้
เพราะสมัยนี้ พัฒนาการตามวัยมันไม่ทันชาวบ้านเขาเสียแล้ว
ต้องเป็นที่หนึ่ง เป็นที่หนึ่งในทุกๆด้าน
ถ้าไม่อยากใช้ยาเสพติด ก็ต้องนมอัจฉริยะนี่แหละ
ฝันที่เป็นจริงของพ่อแม่ขี้เกียจหาข้าวให้ลูกกิน
ล่าสุด
หนังสือเบสท์เซลเลอร์
ยังไม่ได้อ่าน แต่ได้ข่าวมาว่า เพียงแค่คุณจินตนาการ
วาดฝันว่าคุณทำได้ คุณก็จะประสบความเร็จในชีวิต
สุดยอดที่สุด ไม่ต้องทำอะไร
นั่งคิดไปวันๆ ว่าฉันจะรวย ฉันจะใหญ่โต
ฝันก็เป็นจริงได้
หากินกับความขี้เกียจกันเถอะ...
เพราะความขี้เกียจเป็นสิ่งที่มีติดตัวมนุษย์ทุกคน
มากบ้างน้อยบ้าง
เป็นพิษบ้าง ช่วยให้สบายบ้าง
ตัวอย่างสิ่งที่หากินกับความขี้เกียจอย่างแรกคือ
ศูนย์สุขภาพที่โฆษณาว่า
สามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย
จะเห็นว่า คำโฆษณาดังกล่าวฝืนความรู้สึกอยู่ในที่
ถ้าได้เรียนสปช. นักเรียนก็ย่อมต้องรู้ว่า
การจะมีสุขภาพดีได้ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
แต่คนในสังคมปัจจุบัน
ขี้เกียจออกกำลังกาย
แต่ก็ยังอยากรักษาสุขภาพ
การลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนโดยไม่ต้องออกกำลังกาย
ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง
ไม่ต้องเสียเวลาออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 วัน วันละครึ่งชั่วโมง
ก็สามารถผอม หุ่นดีได้ !
ฝันที่เป็นจริงของคนขี้เกียจ (ที่มีเงิน)
ต่อมาคือ การกินนมหรืออาหารเสริมทำให้เด็กฉลาด
โดยไม่ต้องกินข้าวหรืออ่านหนังสือ
สุดยอด ! นั่งกินนอนกินนมอัจฉริยะไปวันๆ
ก็ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้
เพราะสมัยนี้ พัฒนาการตามวัยมันไม่ทันชาวบ้านเขาเสียแล้ว
ต้องเป็นที่หนึ่ง เป็นที่หนึ่งในทุกๆด้าน
ถ้าไม่อยากใช้ยาเสพติด ก็ต้องนมอัจฉริยะนี่แหละ
ฝันที่เป็นจริงของพ่อแม่ขี้เกียจหาข้าวให้ลูกกิน
ล่าสุด
หนังสือเบสท์เซลเลอร์
ยังไม่ได้อ่าน แต่ได้ข่าวมาว่า เพียงแค่คุณจินตนาการ
วาดฝันว่าคุณทำได้ คุณก็จะประสบความเร็จในชีวิต
สุดยอดที่สุด ไม่ต้องทำอะไร
นั่งคิดไปวันๆ ว่าฉันจะรวย ฉันจะใหญ่โต
ฝันก็เป็นจริงได้
หากินกับความขี้เกียจกันเถอะ...
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552
รวมข่าว
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7762307/P7762307.html
http://www.economist.com/world/asia/displaystory.cfm?story_id=13496103
http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8012145.stm
http://www.economist.com/world/asia/displaystory.cfm?story_id=13496103
http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8012145.stm
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552
นาฬิกา และความศักดิ์สิทธิ์
ในค่ายอาสา จะมีกรรมการอยู่หนึ่งฝ่าย เรียกว่าผู้รักษาเวลา
เขาคนนี้จะมีหน้าที่รักษาเวลาให้กับชาวค่าย
โดยการใช้นกหวีดเป่าให้ชาวค่ายทุกคนได้ยิน
เป็นการเตือนชาวค่ายว่าถึงเวลาทำกิจกรรมนั้นๆแล้ว
และเป็นบอกเวลาชาวค่ายไปในตัว
ครั้งหนึ่งในวงประชุมเช้า
มีพี่ค่ายคนหนึ่งเสนอให้พวกเราชาวค่าย
ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการของเวลา
เพราะไหนๆก็มาค่ายแล้ว
ลองไม่สนใจเวลาดูบ้าง
ถอดนาฬิกาข้อมือออกเสีย
ปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากกรอบของเวลา
ที่คอยบังคับให้เราต้องทำโน่นทำนี่ตามกำหนดการประจำวัน
แล้วทำตามผู้รักษาเวลา เมื่อผู้รักษาเวลาให้สัญญาณ
เมื่อได้ยินดังนั้น น้องๆชาวค่ายก็ประทับใจ
จึงลองทำตาม แล้วก็รู้สึกดีๆกับการไม่ต้องคอยมองดูนาฬิกา
อย่างที่เคยทำในชีวิตประจำวัน
จนกระทั่งเวลาผ่านไป
ความที่พี่ๆค่ายอยากให้น้องค่ายรู้สึกดีๆแบบที่ตัวเองเคยรู้สึกบ้าง
จึงบอกกับน้องค่ายใหม่
ว่าให้ถอดนาฬิกาข้อมือออก จะได้ไม่ต้องดูเวลา
แล้วจะรู้สึกสบายใจ
โดยลืมไป ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่นำมาซึ่งความสบายใจนั้นๆ
และกลับกลายเป็นว่าพี่ค่ายบางส่วนเข้าใจว่า
การไม่ใส่นาฬิกาข้อมือ เป็นการกระทำเพื่อให้เวลาของผู้รักษาเวลนั้น
เป็นเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์
มีเฉพาะผู้รักษาเวลาเท่านั้นที่รู้เวลาที่แท้จริง
เมื่อผู้รักษาเวลาบอกเวลา จะได้ไม่มีใครโต้เถียง
จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดคือความหวังดีที่เปี่ยมล้นของพี่ค่าย
ที่อยากให้น้องค่ายให้รับสิ่งดีๆที่ตนได้รับ
จนลืมกระบวนการของการคิดพิจารณาว่าจะให้ได้สิ่งดีๆนั้นอย่างไร
และอย่างที่สองคือความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของเวลาในค่ายอาสานั้น
ไม่ได้มาจากการห้ามคนพูดถึง
ไม่ได้มาจากการจำกัดข้อมูล
ไม่ได้มาจากการห้ามคนอื่นล่วงรู้ความจริง
และไม่ได้มาจากการบังคับไม่ให้รู้ความจริง
แต่มาจากความเชื่อถือ ความมั่นใจในตัวผู้รักษาเวลา
ว่ากำลังรักษาเวลาเพื่อคนทั้งค่าย
เพื่อให้กิจกรรมต่างๆภายในค่ายสามารถดำเนินไปได้ลุล่วง
ถึงแม้บางครั้งผู้รักษาเวลาอาจจะเป่านกหวีดเลยเวลาที่ตกลงกันไปบ้าง
แต่กระทำนั้นย่อมมีข้ออธิบายได้เสมอ
เพราะทำไปเพื่อประโยชน์ของทุกคนภายในค่าย
เขาคนนี้จะมีหน้าที่รักษาเวลาให้กับชาวค่าย
โดยการใช้นกหวีดเป่าให้ชาวค่ายทุกคนได้ยิน
เป็นการเตือนชาวค่ายว่าถึงเวลาทำกิจกรรมนั้นๆแล้ว
และเป็นบอกเวลาชาวค่ายไปในตัว
ครั้งหนึ่งในวงประชุมเช้า
มีพี่ค่ายคนหนึ่งเสนอให้พวกเราชาวค่าย
ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการของเวลา
เพราะไหนๆก็มาค่ายแล้ว
ลองไม่สนใจเวลาดูบ้าง
ถอดนาฬิกาข้อมือออกเสีย
ปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากกรอบของเวลา
ที่คอยบังคับให้เราต้องทำโน่นทำนี่ตามกำหนดการประจำวัน
แล้วทำตามผู้รักษาเวลา เมื่อผู้รักษาเวลาให้สัญญาณ
เมื่อได้ยินดังนั้น น้องๆชาวค่ายก็ประทับใจ
จึงลองทำตาม แล้วก็รู้สึกดีๆกับการไม่ต้องคอยมองดูนาฬิกา
อย่างที่เคยทำในชีวิตประจำวัน
จนกระทั่งเวลาผ่านไป
ความที่พี่ๆค่ายอยากให้น้องค่ายรู้สึกดีๆแบบที่ตัวเองเคยรู้สึกบ้าง
จึงบอกกับน้องค่ายใหม่
ว่าให้ถอดนาฬิกาข้อมือออก จะได้ไม่ต้องดูเวลา
แล้วจะรู้สึกสบายใจ
โดยลืมไป ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่นำมาซึ่งความสบายใจนั้นๆ
และกลับกลายเป็นว่าพี่ค่ายบางส่วนเข้าใจว่า
การไม่ใส่นาฬิกาข้อมือ เป็นการกระทำเพื่อให้เวลาของผู้รักษาเวลนั้น
เป็นเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์
มีเฉพาะผู้รักษาเวลาเท่านั้นที่รู้เวลาที่แท้จริง
เมื่อผู้รักษาเวลาบอกเวลา จะได้ไม่มีใครโต้เถียง
จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดคือความหวังดีที่เปี่ยมล้นของพี่ค่าย
ที่อยากให้น้องค่ายให้รับสิ่งดีๆที่ตนได้รับ
จนลืมกระบวนการของการคิดพิจารณาว่าจะให้ได้สิ่งดีๆนั้นอย่างไร
และอย่างที่สองคือความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของเวลาในค่ายอาสานั้น
ไม่ได้มาจากการห้ามคนพูดถึง
ไม่ได้มาจากการจำกัดข้อมูล
ไม่ได้มาจากการห้ามคนอื่นล่วงรู้ความจริง
และไม่ได้มาจากการบังคับไม่ให้รู้ความจริง
แต่มาจากความเชื่อถือ ความมั่นใจในตัวผู้รักษาเวลา
ว่ากำลังรักษาเวลาเพื่อคนทั้งค่าย
เพื่อให้กิจกรรมต่างๆภายในค่ายสามารถดำเนินไปได้ลุล่วง
ถึงแม้บางครั้งผู้รักษาเวลาอาจจะเป่านกหวีดเลยเวลาที่ตกลงกันไปบ้าง
แต่กระทำนั้นย่อมมีข้ออธิบายได้เสมอ
เพราะทำไปเพื่อประโยชน์ของทุกคนภายในค่าย
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552
โลกแห่งความไม่แน่นอน
ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความไม่แน่นอน
โลกที่ไม่สามารถบอกอะไรๆได้แน่นอน
ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรถูก
ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรผิด
โลกแห่งความคลุมเครือ
ที่ที่ทุกคนต่างก็ไม่อยากจะให้คำตอบชัดเจน
ทั้งๆที่คำถามเหล่านั้นก็มีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในตัวเอง
ครั้งหนึ่งความขี้เกียจเคยเป็น 1 ในบาป 7 ประการ
แต่ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
ความขี้เกียจอาจจะเป็นเรื่องถูกหรือผิดก็ได้
ก็เพราะเขาเป็นคนแบบนี้ ช่วยไม่ได้
ก็คนเรามันมีเป้าหมายของชีวิตแตกต่างกัน
ก็เขามีอายุแล้ว ผ่านโลกมามากแล้ว ให้เขาได้พักเถอะ...
ครั้งหนึ่ง เคยเชื่อกันว่าหมอ พระ ครู เป็นผู้ใจบุญ
เป็นผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ครบพรหมวิหารสี่
แต่ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
คนเหล่านี้เป็นได้ตั้งแต่เทวทูตจนถึงซาตาน
ขึ้นอยู่กับดวงของท่านว่าจะเจอแบบไหน...
ครั้งหนึ่งมีคนเอานิ้วชื้ไปที่สิ่งต่างๆแล้วบอกว่า สิ่งนั้นผิด สี่งนี้ถูก
เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้
แต่ทุกวันนี้ ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
ไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้ว
และต่างคนก็เหตุผลต่างกันไป
ว่าเพราะอย่างนี้ อย่างนั้น
สิ่งนั้นจึงผิด และสิ่งนี้จึงถูก...
โลกที่ไม่สามารถบอกอะไรๆได้แน่นอน
ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรถูก
ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรผิด
โลกแห่งความคลุมเครือ
ที่ที่ทุกคนต่างก็ไม่อยากจะให้คำตอบชัดเจน
ทั้งๆที่คำถามเหล่านั้นก็มีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในตัวเอง
ครั้งหนึ่งความขี้เกียจเคยเป็น 1 ในบาป 7 ประการ
แต่ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
ความขี้เกียจอาจจะเป็นเรื่องถูกหรือผิดก็ได้
ก็เพราะเขาเป็นคนแบบนี้ ช่วยไม่ได้
ก็คนเรามันมีเป้าหมายของชีวิตแตกต่างกัน
ก็เขามีอายุแล้ว ผ่านโลกมามากแล้ว ให้เขาได้พักเถอะ...
ครั้งหนึ่ง เคยเชื่อกันว่าหมอ พระ ครู เป็นผู้ใจบุญ
เป็นผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ครบพรหมวิหารสี่
แต่ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
คนเหล่านี้เป็นได้ตั้งแต่เทวทูตจนถึงซาตาน
ขึ้นอยู่กับดวงของท่านว่าจะเจอแบบไหน...
ครั้งหนึ่งมีคนเอานิ้วชื้ไปที่สิ่งต่างๆแล้วบอกว่า สิ่งนั้นผิด สี่งนี้ถูก
เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้
แต่ทุกวันนี้ ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
ไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้ว
และต่างคนก็เหตุผลต่างกันไป
ว่าเพราะอย่างนี้ อย่างนั้น
สิ่งนั้นจึงผิด และสิ่งนี้จึงถูก...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)