วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ผู้ชายเจาะหู และซอมอตอ

วันนี้นั่งนึกๆดู
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทัศนคติของผู้เขียนได้เปลี่ยนไปหลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น

เรื่องผู้ชายเจาะหู
เมื่อก่อนผู้เขียนไม่ชอบผู้ชายที่เจาะหูและใส่ต่างหูเป็นอย่างมาก เพราะ เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิง ดูเหมือนตุ๊ด และอื่นๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นนักศึกษาแพทย์ จะยิ่งเพิ่มดีกรีความเกลียด เพราะ ลักษณะที่พึงประสงค์ของแพทย์คือความภูมิฐาน ความปรกติ เป็นระเบียบ และเรียบร้อย
แต่ทุกวันนี้ผู้เขียนกลับรู้สึกเฉยๆ เมื่อเดินผ่านนักศึกษาแพทย์ชายที่เจาะหู และกลับคิดว่าเป็นสิทธิของเขา.... ถ้าเขาอยากใส่ เขาก็ควรจะได้ใส่ แต่เขาก็ต้องพร้อมที่จะรับผลการกระทำของตัวเขาเอง เช่น การถูกหมอคนอื่นๆ และคนไข้มองด้วยสายตาที่ไม่ปรกติ และพร้อมรับการลงโทษ ถ้าคณะแพทย์ฯออกกฎว่าผู้ชายห้ามใส่ต่างหู...

เรื่องของซูโม่ตู้
ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับซูโม่ตู้ เรื่องทอล์คโชว์ของเขา และบทสัมภาษณ์เผยแพร่ในอินเตอร์เนต
อ่านได้ที่ http://www.thaingo.org/webboard/view.php?id=13478
เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผู้เขียนก็รู้สึกคล้ายๆซูโม่ตู้อยู่บ้าง
ความรู้สึกแบบชนชั้นกลางที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง
แต่มาวันนี้ พอได้อ่านคำสัมภาษณ์ของซอมอตอแล้ว
รู้สึกน่ารำคาญ และน่าโมโหจริงๆ....

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ข้อเสนอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑

เรียน ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก
ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๔๒๒ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่
เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ๑๐๓๓๐

เรื่อง: ข้อเสนอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ความรุนแรงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่หน้ารัฐสภา โดยมีนายสุรสีห์ โกศลนาวิน เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กสม.

กลุ่มประชาชนผู้ห่วงใยประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวอย่างไม่เป็นทางการของนักกิจกรรม นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนที่ได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนการจัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ดังกล่าว และขอแสดงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้:

๑.คณะอนุกรรมการฯ ต้องดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่การละเมิดสิทธิฯโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการกระทำของกลุ่ม พธม. ด้วย โดยอาศัยหลักการของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง (ICCPR) ที่รัฐบาลไทยได้ให้การภาคยานุวัติเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๙ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติและมีความเอนเอียงทางการเมือง เนื่องจากได้มีกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นเดียวกัน เช่น:
·กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายถูกผู้ชุมนุมกลุ่มพธม.ใช้ด้ามธงแทงเข้าจนทะลุปอด ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
·กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส
·กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกผู้ชุมนุมขับรถชนหลายนาย
·กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกผู้ชุมนุมรุมทำร้ายทุบตีร่างกายและศีรษะจนสมองบวม
เป็นต้น

๒.คณะอนุกรรมการฯ ต้องดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกลุ่มพธม.ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ด้วย ทั้งนี้ อาจจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือขยายบทบาทหน้าที่ (mandate) ของคณะอนุกรรมการฯ นี้ก็ได้ โดยจะต้องดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย:
·การปะทะกันที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่ม พธม. และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ โดยเฉพาะการเสียชีวิตของณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสงและการบาดเจ็บของทั้งสองฝ่าย ซึ่งในกรณีนี้ ควรตรวจสอบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกลุ่มพธม. หรือกลุ่มนปช. หรือทั้งสองฝ่ายหรือไม่ ว่าเป็นการละเมิดสิทธิภายใต้มาตรา 6 ของ ICCPR ที่ว่า “มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตมาแต่กำเนิด...บุคคลจะต้องไม่ถูกทำให้เสียชีวิตโดยอำเภอใจ” หรือไม่
·การที่ พธม. กล่าวปราศรัย และใช้พื้นที่สื่อในเครือผู้จัดการบิดเบือนข้อมูล โจมตีทำลายชื่อเสียง และสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นต่อนักกิจกรรม นักวิชาการ และนักสหภาพแรงงาน ที่มีความคิดเห็นและ/หรือข้อเสนอทางการเมืองต่างจากของกลุ่ม พธม. (อาทิ กรณี รศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ จอน อึ๊งภากรณ์ รศ.ดร.โคทม อารียา ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล โชติศักดิ์ อ่อนสูง จิตรา คชเดช สมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นต้น) อันเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ในบางกรณีได้มีการเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงต่อคนเหล่านั้นอีกด้วย ถือเป็นการขัดต่อข้อ 19 ของ ICCPR ที่ว่า “การใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกมีข้อจำกัด ในการเคารพสิทธิหรือชื่อเสียงของผู้อื่น” และ ข้อ 20 ข้อย่อย 2 ที่ว่า “การสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชังในชาติ เผ่าพันธุ์ หรือ ...ซึ่งยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การเป็นฏิปักษ์หรือการใช้ความรุนแรง เป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมาย”
·การบุกยึดทำเนียบรัฐบาลและสถานีโทรทัศน์ NBT การปิดล้อมรัฐสภา ตลอดจนการชุมนุมโดยมีอาวุธในครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นมีด หนังสติ๊ก ท่อเหล็ก ปืน หลาย ๆ กรณี ของพธม. รวมทั้งวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตามที่ปรากฏในรายงานข่าวทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เนื่องจากตามมาตรา 21 ของ ICCPR ที่ว่า สิทธิในการชุมนุมโดยสงบย่อมได้รับความคุ้มครอง การจำกัดการใช้สิทธินี้จะกระทำมิได้ นอกจาก ... เพื่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่สามารถทำได้ ถ้าเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น

ทางกลุ่มฯ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชน ตามเจตนารมณ์ของการก่อตั้งสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฏในหลักการปารีส (Paris Principles)

ที่สำคัญ กลุ่มฯ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคอยเฝ้าระวังและตรวจสอบการกระทำของทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินอยู่ ทั้งนี้ เพื่อสร้างสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง

ขอแสดงความนับถือ

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แถลงการณ์ประณามการเลือกปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจของกลุ่มแพทย์ฯ

ตามที่มีรายงานข่าวว่ากลุ่มอาจารย์แพทย์ พยาบาล และแพทย์ประจำบ้านของโรงเรียนแพทย์ 8 สถาบัน รวมถึงคณะจิตแพทย์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ได้ประกาศงดการตรวจและรักษาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเป็นการใช้ “มาตรการทางสังคม” แสดงความไม่เห็นด้วยต่อวิธีการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมานั้น

องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้มีรายนามด้านล่างนี้ ขอประณามการตัดสินใจดังกล่าวเนื่องจากเป็นการขัดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักจรรยาบรรณแพทย์อย่างร้ายแรง

การกระทำดังกล่าว ไม่เพียงเป็นการละเมิดหลักจรรยาบรรณแพทย์ที่เน้นประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย เท่านั้น หากยังละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองไว้ในทั้งกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ซึ่งได้ประกันว่าสิทธิในชีวิตและสิทธิในการได้รับการบริการทางสาธารณสุขเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน สิทธิดังกล่าวนี้อยู่บนพื้นฐานหลักการที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของการใช้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนทั้งปวง คือ หลักการไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าบนพื้นฐานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอื่น เผ่าพันธุ์ แห่งชาติ หรือสังคม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นๆ

และแม้แต่กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Laws) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กำกับการปฏิบัติของรัฐและผู้เกี่ยวข้องในภาวะสงคราม ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นรัฐภาคีมาตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2497 นั้น ยังรับประกันสิทธิของผู้ได้รับบาดเจ็บในการได้รับการรักษาและดูแลทางการแพทย์ รวมถึงการได้รับการรักษาจากฝ่ายคู่กรณีของความขัดแย้ง

ด้วยหลักการต่าง ๆ ข้างต้น การปฏิเสธการให้การรักษาแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะในภาวะความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถูกทำร้ายโดยฝ่ายผู้ชุมนุมเช่นกันนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ การแจ้งว่าตำรวจสามารถรับการรักษาได้หากไม่ได้แต่งชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่หรือไม่ได้แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากจะมิไช่เป็นหนทางออกจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ยังตอกย้ำการเลือกปฏิบัติ อันจะส่งผลให้ชีวิตและสุขภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีศักดิ์และสิทธิเช่นเดียวกับผู้ป่วยคนอื่นๆตกอยู่ในความเสี่ยงได้

เราจึงขอเรียกร้องดังนี้

1. ให้สถาบันทางการแพทย์ต่าง ๆ เคารพและยึดถือหลักการไม่เลือกปฏิบัติ หลักสิทธิมนุษยชน และจรรยาบรรณแพทย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และดำเนินมาตรการทางวินัยต่อผู้ที่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามหลักการดังกล่าว

2. ให้แพทยสภาและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้าตรวจสอบและดำเนินการตรวจสอบจริยธรรมและมาตรฐานทางการแพทย์ของกลุ่มแพทย์ดังกล่าวโดยทันที

ด้วยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความแตกต่างของความคิดเห็นทางการเมืองและความรุนแรงที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากนั้น จะไม่ทำให้สังคมไทยละเลยการเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บันทึกเดือนตุลาคม

วันนี้วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑
ช่วง ๒-๓ ที่ผ่านมามีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น
ผู้เขียนจึงอยากบันทึกไว้กันลืม

-พลตรีจำลองถูกจับกุมข้อหากบฎขณะไปเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯ
-กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนขบวนไปหน้ารัฐสภาเพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาล
-เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเช้าวันที่ ๗ ตุลาคม
-มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตา
-มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด
-มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถทับ และธงแทงหน้าอก
-กลุ่มพันธมิตรฯยืนยันให้รัฐบาลลาออกภายใน ๑๘.๐๐ น.วันที่ ๗ ตุลาคม
-เวลา ๑๘.๐๐ น.มีแต่ความเงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
-มีรถระเบิดหน้าที่ทำการพรรคชาติไทย มีผู้เสียชีวิต
-มีเหตุการณ์ปะทะกันหน้าบชน.มีผู้เสียชีวิตเป็นนักศึกษาจากเอแบค
-นักวิชาการ NGO สื่อต่างพากันโจมตีรัฐบาลและตำรวจ
-แพทย์จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯประกาศไม่รับรักษาตำรวจ
-สมเด็จพระบรมราชินีนาถพระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน ๑ แสนบาท ให้โรงพยาบาลวชิรพยาบาลเพื่อรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ
และอีก ๒ แสนบาทในวันถัดมา