วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำงานมา 3 ปี

ผู้เขียนเริ่มปฏิบัติงานที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ วันแรกที่มาทำงานยังมีสีทาบ้านติดที่เส้นผม ใบหน้าไหม้เกรียมจากแดดที่ร้อนแรงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเพิ่งกลับจากค่ายอาสา จากวันนั้นก็ผ่านมาสามปีแล้ว เหตุการณ์ต่างๆทั้งในประเทศ โรงพยาบาล และภาควิชา ก็ผ่านไป

ประเทศไทยผ่านการปกครองโดยรัฐบาลสมัคร สมชาย จนมาถึงอภิสิทธิ์ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปทุกปีๆๆ เมื่อผู้คนมีความขัดแย้ง เป็นโอกาสดีที่แพทย์ที่มีความรู้ด้านนิติเวชศาสตร์ จะได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์ร่วมแก้ปัญหาของประเทศ ให้ความจริงปรากฏขึ้น เดิมทีแพทย์นิติเวชฯ ก็มีต้นกำเนิดจากการไปเป็นพยานในกระบวนพิจารณาที่กระทำโดยองค์กรตุลาการ (คำว่า forensic มาจากคำว่า forensis, forum ในสมัยโรมันหมายถึงสถานที่ประชุม โดยจะมีการเจรจาต่อรองเกิดขึ้น forensic medicine จึงหมายถึงการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับศาล) แต่ปรากฏว่าแพทย์นิติเวชฯหลายคนก็ไม่พร้อมกับการเข้าไปอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง คนที่ผลั้งเผลอก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ บางคนก็อยากจะแสดงตัวตนมากเหลือเกิน จนเกินเลยความรู้ทางการแพทย์ ผลก็คือความจริงที่ควรจะปรากฏก็ไม่ปรากฏ ความจริงที่ปรากฏก็ถูกบิดเบือนให้เป็นความจริงอีกอย่าง ไล่ตั้งแต่ เมษายน ๕๒, ๑๐ เมษายน ๕๓, ๑๙ พฤษภาคม ๕๓ ย้อนกลับไปคดีที่เป็นต้นกำเนิดของภาควิชานิติเวชศาสตร์ ก็คือกรณีสวรรคต รัชกาลที่ ๘ ข้อเท็จจริงหลายๆอย่างก็ยังไม่ปรากฏ จนถึงทุกวันนี้

โรงพยาบาลคึกครื้นขึ้นเยอะมาก มีรถบัสเข้ามาโรงพยาบาลทุกวัน เพื่อนำพสกนิกรมาแสดงความจงรักภักดี ในหลวงก็ได้ประทับที่โรงพยาบาลมาเกือบ ๒ ปีแล้ว ทีมงานข่าวสองทุ่มยังคงมาทำข่าวที่โรงพยาบาลทุกวันๆ พ่อค้าแม่ค้ารอบโรงพยาบาลคงรู้สึกปลาบปลื้มใจกับพสกนิกรที่ได้มาลงนามและไปช็อปปิ้งที่ตลาดวังหลังต่อ จนถึงตอนนี้ มาโรงพยาบาลครั้งเดียวแต่ได้ลงนามถวายพระพรถึงสองพระองค์ คือ สมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์

อนาคตการทำงานเดิมเหมือนจะชัดเจน แต่สุดท้ายก็ยังไม่แน่นอน เดิมผู้เขียนตั้งใจจะไปศึกษาด้านพยาธิวิทยาต่อหลังจากจบนิติเวชศาสตร์ เพื่อทำงานด้านนิติพยาธิวิทยา ปัจจุบันความคิดที่จะไปเรียนต่อก็ต้องพักไว้ก่อน ด้วยเหตุผลด้านการบริหารจัดการ ไม่เป็นไร ไปเรียนเนติบัณฑิตฆ่าเวลาก่อนก็ได้ จะระวังไม่ฆ่าเวลามากเกินไปนัก เวลามีน้อย

การเรียนภาคบัณฑิตที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ทั้งความบันเทิงและความรู้กับผู้เขียนมากมายนัก นั่งเรียนตอนเย็นทุกวัน วันละสามชั่วโมง เป็นเวลาสามปี ในที่สุด ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเดือนสิงหาคม เนื่องจากเป็นการรับปริญญาครั้งที่สอง ความตื่นเต้นก็น้อยลงเป็นธรรมดา เรื่องดีๆที่ได้จากนิติศาสตร์คือการคิดวิพากษ์แบบถึงราก กฎเกณฑ์หรือหลักการต่างๆที่ดำรงอยู่ควรได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างถึงราก การให้เหตุผลเชิงคุณค่าเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าปัจเจกชนยังอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป ก็ควรที่จะหาเหตุผลประกอบการดำเนินชีวิต ว่าเดินไปทางนี้เพราะอะไร เพื่ออะไร มีทางอื่นให้เดินหรือไม่ การเรียนในสายสังคมศาสตร์ทำให้ผู้เขียนสามารถตั้งคำถามกับข้อความคิดที่เป็นนามธรรมได้มากขึ้น จากเดิมที่เคยตั้งคำถามกับเฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น กลายเป็นสงสัยไปซะทุกเรื่อง

บางครั้ง ผู้เขียนรู้สึกว่าการเลือกข้างเป็นสิ่งจำเป็น แต่จะแสดงออกหรือไม่ แสดงออกมากหรือน้อย ก็เป็นสิทธิของบุคคลนั้น ขอแค่มีเหตุผลให้กับการเลือก ว่าทำไปเพื่ออะไร เพื่อตัวเอง เพื่อสังคม เพื่อคนที่รักบูชา เพื่อหลักการนามธรรมที่ตนเองต้องการ ถ้ามีเหตุผลประกอบการตัดสินใจ เวลาผ่านไปยังมีโอกาสคิด ว่าตอนนั้นคิดผิดหรือถูก แต่ถ้าอยู่เฉยๆไปวันๆ แม้แต่ยอมรับกับตัวเองว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ยังไม่กล้า ก็เสียดายที่อุตส่าห์เป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

เหลือภาระอีกอย่างเดียว ณ ขณะนี้คือ การสอบเพื่อวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ ที่สนามสอบคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หวังว่าจะสอบผ่าน ได้เป็นหมอนิติเวชฯเต็มๆตัวเสียที